Uncategorized

ทำไมการใช้บริการเอเจนซี่ที่ยื่นวีซ่า จะช่วยลดต้นทุนธุรกิจได้? ในมุมมองของหลายองค์กร การยื่นวีซ่าอาจดูเป็นเรื่องเล็กที่ HR หรือพนักงานสามารถจัดการได้เอง แต่ในความเป็นจริง การ ทำวีซ่าเองโดยไม่มีความเชี่ยวชาญ อาจสร้างต้นทุนแฝงที่สูงกว่าการใช้เอเจนซี่มืออาชีพเสียอีก โดยเฉพาะเมื่อต้องจัดการเรื่องวีซ่าให้กับผู้บริหาร หรือพนักงานที่ต้องเดินทางด่วน   1. ลดความเสี่ยง “ขอวีซ่าไม่ผ่าน” ซึ่งมีค่าใช้จ่ายแฝงมหาศาล การขอวีซ่าผิดประเภท เอกสารไม่สมบูรณ์ หรือขาดข้อมูลที่สถานทูตต้องการ อาจทำให้วีซ่าถูกปฏิเสธ และส่งผลต่อเนื่องดังนี้: เสียค่าธรรมเนียมวีซ่า (ไม่สามารถขอคืนได้)   เสียค่าเลื่อนตั๋วเครื่องบิน / โรงแรม   เสียโอกาสทางธุรกิจ เช่น พลาดประชุมหรือเซ็นสัญญา   ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือขององค์กรเมื่อมีประวัติการขอวีซ่าที่ล้มเหลว   2. ลดภาระงาน HR – ให้คนของคุณโฟกัสงานที่สำคัญกว่า หาก HR ต้องจัดการเรื่องวีซ่าเองทุกขั้นตอน เช่น นัดหมายกับศูนย์ยื่น   เตรียมเอกสารให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของแต่ละประเทศ   ติดตามผล และแก้ปัญหาเฉพาะหน้า   สิ่งเหล่านี้ใช้เวลาหลายชั่วโมงถึงหลายวัน และทำให้ HR ไม่สามารถทุ่มเวลาให้กับงานบริหารบุคคลหรือพัฒนาองค์กรได้เต็มที่ […]

ตอบโจทย์ทุกภารกิจด่วนขององค์กร…ไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา ในโลกธุรกิจปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ทุกวัน — การเดินทางด่วนเพื่อ เข้าประชุมกับพันธมิตร   เซ็นสัญญาธุรกิจ   แก้ปัญหาหน้างาน   เจรจาโครงการสำคัญที่ “ไม่สามารถรอได้”   ทำให้หลายองค์กรต้องการ ยื่นวีซ่าแบบเร่งด่วน (Express) เพื่อให้ผู้บริหารหรือทีมงานเดินทางได้ทันเวลา แม้จะมีเวลาเตรียมเอกสารจำกัด บริการวีซ่าเร่งด่วน คืออะไร? คือการยื่นคำร้องขอวีซ่าในช่องทางหรือเงื่อนไขพิเศษที่ทำให้ ลดเวลาการพิจารณา จากปกติ 5-15 วัน เหลือเพียง 1-3 วันทำการ (แล้วแต่ประเทศ)   ใช้ได้กับหลายประเทศที่เปิดระบบ Express/ Priority/ Urgent Processing   อาจมี ค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม แต่แลกกับความรวดเร็วที่คุ้มค่า   ตัวอย่างประเทศที่มีบริการวีซ่าแบบเร่งด่วน ประเทศ ประเภทบริการเร่งด่วน ระยะเวลาพิจารณาโดยประมาณ สหราชอาณาจักร (UK) Priority / Super Priority Visa 1-5 วันทำการ ออสเตรเลีย

ทางเลือกที่ชาญฉลาด สำหรับนักธุรกิจที่ต้องเดินทางบ่อย ในยุคที่โลกธุรกิจเชื่อมโยงกันมากขึ้น ผู้บริหารและทีมงานหลายคนต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้งเพื่อ ประชุมกับพันธมิตร เซ็นสัญญา เข้าร่วมงานแสดงสินค้า เยี่ยมชมโรงงานหรือสำนักงานในเครือ และเมื่อการเดินทางไม่ได้จบแค่ “ครั้งเดียว” การขอ วีซ่าแบบ Multiple Entry หรือวีซ่าธุรกิจเข้า-ออกได้หลายครั้ง จึงกลายเป็นทางเลือกที่สะดวกและคุ้มค่ากว่า วีซ่าแบบ Multiple Entry คืออะไร? คือวีซ่าที่อนุญาตให้ผู้ถือสามารถ เดินทางเข้า-ออกประเทศปลายทางได้หลายครั้ง ภายในระยะเวลาที่วีซ่ามีอายุ เช่น 6 เดือน / 1 ปี / 2 ปี / 5 ปี โดยแต่ละครั้งอาจอยู่ได้ไม่เกิน 30 – 90 วัน (ขึ้นอยู่กับประเทศ) ข้อดีของการมีวีซ่าแบบ Multiple Entry ✅ 1. ลดขั้นตอนการยื่นซ้ำ ไม่ต้องยื่นวีซ่าทุกครั้งที่เดินทาง ประหยัดเวลาและลดภาระเอกสาร ✅ 2. วางแผนเดินทางได้ยืดหยุ่น เหมาะกับธุรกิจที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการกระทันหัน หรือเดินทางแบบกระชั้นชิด ✅

รู้ก่อนเลือก ยื่นให้ถูกประเภท เดินทางได้อย่างมั่นใจ ในการส่งพนักงานหรือผู้บริหารไปต่างประเทศ หลายองค์กรมักมีคำถามว่า “ควรยื่นวีซ่าแบบไหนดี?” ระหว่าง Business Visa ที่เหมาะกับการเดินทางสั้น ๆ กับ Work Visa ที่ให้สิทธิทำงานจริงในต่างแดน การเลือกประเภทวีซ่าผิดอาจทำให้ถูกปฏิเสธวีซ่า หรือละเมิดเงื่อนไขการเข้าประเทศโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาจส่งผลต่อชื่อเสียงขององค์กรและตัวพนักงานเอง   ความแตกต่างระหว่าง Business กับ Work Visa   รายละเอียด Business Visa Work Visa วัตถุประสงค์ การประชุม, ดูงาน, เจรจาธุรกิจ, เข้าร่วมสัมมนา ฯลฯ การทำงานในต่างประเทศแบบมีรายได้ หรือสัญญาจ้าง ระยะเวลาอยู่ในประเทศ ปกติ 7–90 วัน (แล้วแต่ประเทศ) ตามระยะเวลาที่อนุญาตในใบอนุญาตทำงาน สิทธิในการทำงาน ❌ ห้ามทำงาน / หารายได้ในประเทศปลายทาง ✅ ทำงานได้ตามเงื่อนไขวีซ่า ผู้ออกค่าใช้จ่าย บริษัทต้นสังกัดในไทย หรือบริษัทคู่ค้าในต่างประเทศ บริษัทผู้ว่าจ้างในประเทศปลายทาง

เตรียมให้พร้อมแบบไร้ข้อผิดพลาด เพื่อการเดินทางที่ราบรื่นและไม่สะดุด การเดินทางต่างประเทศของผู้บริหารระดับสูง ไม่ว่าจะเพื่อประชุม เจรจาธุรกิจ เยี่ยมชมคู่ค้า หรือร่วมงานสำคัญระดับนานาชาติ ล้วนเป็นภารกิจที่สะท้อนถึงภาพลักษณ์ขององค์กรโดยตรง และ “ขั้นตอนการขอวีซ่า” ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องวางแผนและเตรียมเอกสารให้พร้อมอย่างมืออาชีพ Co Journey Visa ขอแนะนำรายการ เอกสารขอวีซ่าที่องค์กรควรเตรียม สำหรับผู้บริหารระดับสูง เพื่อเพิ่มโอกาสผ่านวีซ่าและลดความเสี่ยงจากการถูกปฏิเสธ เอกสารส่วนตัวของผู้บริหาร ✅ หนังสือเดินทาง (Passport) ต้องมีอายุคงเหลืออย่างน้อย 6 เดือน   มีหน้าว่างอย่างน้อย 2 หน้า   ✅ รูปถ่ายขนาดตามมาตรฐานวีซ่าของประเทศปลายทาง พื้นหลังขาว ไม่มีเงา หน้าไม่ยิ้ม สวมเสื้อสุภาพ   ✅ สำเนาบัตรประชาชน/ทะเบียนบ้าน (บางกรณี) ✅ ประวัติการเดินทาง (ถ้ามี) พาสปอร์ตเล่มเก่า หรือสำเนาวีซ่าประเทศที่เคยได้รับ   เอกสารรับรองจากองค์กร ✅ จดหมายรับรองจากบริษัท (Company Letter) ควรออกเป็นภาษาอังกฤษ และมีรายละเอียดดังนี้: ชื่อผู้บริหารและตำแหน่ง  

เคล็ดลับจากประสบการณ์จริง ที่องค์กรยุคใหม่ต้องรู้ การส่งพนักงานไปต่างประเทศไม่ใช่แค่การจองตั๋วเครื่องบินหรือโรงแรม แต่ “ขั้นตอนการขอวีซ่า” คือด่านสำคัญที่อาจเป็นอุปสรรค หากพนักงานไม่ผ่านวีซ่า ไม่เพียงแต่แผนการเดินทางจะต้องล้มเลิก แต่ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นในสายตาผู้บริหารหรือคู่ค้าต่างประเทศด้วย แล้วจะทำอย่างไรให้พนักงานของคุณ “ผ่านวีซ่าได้ตั้งแต่ครั้งแรก”?   Co Journey Visa ขอสรุป 7 วิธีที่องค์กรควรนำไปใช้ทันที:   1. เลือกประเภทวีซ่าให้ตรงจุด หลายครั้งที่วีซ่าถูกปฏิเสธเพราะยื่นผิดประเภท เช่น ไปดูงานแต่ยื่นท่องเที่ยว หรือไปประชุมแต่ไม่มีจดหมายเชิญทางธุรกิจ ✅ ตรวจสอบวัตถุประสงค์ของการเดินทางอย่างละเอียด และเลือกวีซ่าที่ตรงตามข้อกำหนดของแต่ละประเทศ   2. เตรียมเอกสารให้ครบถ้วนตั้งแต่ต้น อย่ารอให้สถานทูตขอเอกสารเพิ่มเติม เพราะนั่นคือสัญญาณของ “ข้อสงสัย” ควรเตรียม: จดหมายรับรองจากบริษัท   จดหมายเชิญจากบริษัทปลายทาง   เอกสารแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสองบริษัท (เช่น MOU, Invoice, Agreement)   แผนการเดินทางแบบชัดเจน   3. เน้นความน่าเชื่อถือของผู้เดินทาง แม้จะเป็นพนักงาน ไม่ใช่ผู้บริหาร แต่เอกสารควรสะท้อนความมั่นคง เช่น หลักฐานเงินเดือน/สลิปเงินเดือน  

เมื่อการเดินทางระหว่างประเทศคือโอกาสทางธุรกิจ การมีมืออาชีพดูแลเรื่องวีซ่าคือการลงทุนที่คุ้มค่า ในยุคที่ธุรกิจต้องแข่งขันด้วยความเร็วและความแม่นยำ การเดินทางระหว่างประเทศเพื่อเปิดตลาดใหม่ ประชุมเจรจา หรือศึกษาความร่วมมือกลายเป็นเรื่องปกติขององค์กรยุคใหม่ แต่สิ่งที่หลายคนมองข้ามคือ “ขั้นตอนขอวีซ่า” ซึ่งหากผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจทำให้แผนงานล่าช้า เสียโอกาสทางธุรกิจ หรือสร้างความไม่พอใจแก่ผู้บริหารระดับสูง   เพราะฉะนั้น การมี “พาร์ตเนอร์ด้านวีซ่าที่เชื่อถือได้” จึงเป็นเรื่องที่องค์กรไม่ควรมองข้ามอีกต่อไป   1. ลดความเสี่ยงจากความผิดพลาดที่มองไม่เห็น รายละเอียดวีซ่าแต่ละประเทศมีความซับซ้อน เช่น การแปลเอกสารให้ถูกต้อง การเลือกประเภทวีซ่าให้ตรงวัตถุประสงค์ หรือเงื่อนไขเฉพาะของแต่ละสถานทูต หากพลาดเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่การ ปฏิเสธวีซ่า ต้องยื่นใหม่และเสียเวลา ทำให้ภาพลักษณ์องค์กรเสียหาย ✅ Partner มืออาชีพจะช่วยคัดกรอง ตรวจสอบ และแนะนำทุกขั้นตอนอย่างแม่นยำ   2. ประหยัดเวลา HR และผู้บริหาร หลายองค์กรมอบหมายให้ HR เป็นผู้ดูแลการขอวีซ่า แต่การเตรียมเอกสารและจองวันยื่นให้เหมาะสมต้องใช้เวลามาก โดยเฉพาะกรณีที่ต้องจัดการให้ผู้บริหารระดับสูงซึ่งมีกำหนดการแน่น Partner ด้านวีซ่าจะเข้ามาช่วยให้ HR ไม่ต้องวุ่นวาย สามารถเตรียมไฟล์เอกสารให้พร้อมเซ็นต์ วางแผนตารางให้เหมาะสมกับกำหนดการเดินทาง ประสานงานกับสถานทูตแทนได้ทันที 3. ช่วยรับมือสถานการณ์เร่งด่วน ในโลกธุรกิจ ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ทุกวัน

การเดินทางไปยังสหราชอาณาจักรเพื่อทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการพบปะลูกค้า ประชุม หรืองานแสดงสินค้า สิ่งแรกที่คุณต้องมีคือ “วีซ่าธุรกิจอังกฤษ (UK Business Visitor Visa)” ที่จะเปิดโอกาสให้คุณสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจข้ามประเทศได้อย่างถูกต้องและมั่นใจ   แต่ในปี 2025 นี้ ขั้นตอนและข้อกำหนดบางอย่างมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ซึ่งผู้ขอวีซ่าควรรู้ล่วงหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงการโดนปฏิเสธ และเสียเวลาโดยไม่จำเป็น วันนี้ Co Journey Visa จะพาคุณมาดูว่า ต้องเตรียมอะไรบ้าง และควรระวังจุดไหน เพื่อให้การยื่นวีซ่าธุรกิจของคุณราบรื่น!   ✅ วีซ่าธุรกิจอังกฤษคืออะไร? เป็นวีซ่าระยะสั้นที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศอังกฤษได้สูงสุด 6 เดือน (ขึ้นอยู่กับกรณี) เพื่อทำกิจกรรมทางธุรกิจ เช่น ประชุมกับคู่ค้า เยี่ยมชมงานแสดงสินค้า เจรจาธุรกิจ เข้าร่วมเวิร์กช็อปที่ไม่ใช่การทำงานโดยตรง หมายเหตุ: วีซ่าธุรกิจ ไม่สามารถใช้เพื่อทำงานหรือรับเงินในสหราชอาณาจักรได้ 📝 เอกสารที่ต้องใช้ในการยื่น (อัปเดต 2025) หนังสือเดินทาง ที่ยังไม่หมดอายุ (เหลืออายุมากกว่า 6 เดือน) จดหมายเชิญจากบริษัทในอังกฤษ หรือผู้จัดกิจกรรม หลักฐานการทำงานในไทย

เตรียมตัวให้พร้อมแบบมืออาชีพ จัดการเอกสารให้ผู้บริหารได้อย่างไร้กังวล เมื่อองค์กรต้องส่งผู้บริหารเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อประชุม เซ็นสัญญา หรือร่วมงานระดับนานาชาติ ฝ่าย HR มักเป็นด่านแรกที่ต้องจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อม โดยเฉพาะ “เรื่องวีซ่า” ที่มักซับซ้อน มีรายละเอียดเฉพาะประเทศ และต้องใช้เอกสารจำนวนมาก พร้อมจัดการเวลาอย่างแม่นยำ เพื่อให้งานเดินทางราบรื่น และภาพลักษณ์ขององค์กรดูมืออาชีพ เราได้รวบรวม “เช็คลิสต์ที่ HR ต้องรู้” เมื่อต้องขอวีซ่าให้ผู้บริหาร พร้อมเคล็ดลับลดความเสี่ยงจากการถูกปฏิเสธวีซ่า   1. ตรวจสอบประเภทวีซ่าให้ตรงจุดประสงค์ สิ่งแรกที่ HR ต้องทำคือระบุวัตถุประสงค์การเดินทางให้ชัดเจน เช่น ประชุมหรือเซ็นสัญญา = วีซ่าธุรกิจ (Business Visa)   ร่วมสัมมนาหรือบรรยาย = วีซ่าระยะสั้นหรือวีซ่าธุรกิจ   เยี่ยมชมสาขา = บางประเทศอาจขอเป็น Work Visa ชั่วคราว   ✅ หากเลือกประเภทผิด มีโอกาสถูกปฏิเสธวีซ่าสูง หรือต้องยื่นใหม่ เสียเวลาโดยไม่จำเป็น   2. เตรียมเอกสารบริษัทให้พร้อม

ในยุคที่การขยายตลาดต่างประเทศเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ การส่งพนักงานไปเจรจาธุรกิจในต่างแดนกลายเป็นเรื่องปกติ แต่รู้หรือไม่ว่าแค่ “ตั๋วเครื่องบิน” อย่างเดียวไม่พอ — วีซ่าที่ถูกต้องและการเตรียมเอกสารอย่างมืออาชาต่างหากที่เป็นตัวแปรสำคัญ! วันนี้ Co Journey Visa ขอยก 5 เคสจริง จากลูกค้าของเราที่สามารถเดินทางไปเจรจาธุรกิจต่างประเทศได้ อย่างราบรื่น ไร้สะดุด — เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ และให้คุณรู้ว่าเราพร้อมดูแลทุกขั้นตอน   ✅ เคสที่ 1: ส่งทีมเซลส์ไปพบคู่ค้าที่ญี่ปุ่น ภายใน 7 วัน! ปัญหา: บริษัทต้องส่งพนักงานไปเจรจาการจัดจำหน่ายกับคู่ค้าในโตเกียวแบบเร่งด่วน ทางออกของเรา: Co Journey Visa จัดเตรียมเอกสารครบทุกขั้นตอน และประสานงานสถานทูตจนได้วีซ่าธุรกิจภายใน 5 วัน ผลลัพธ์: การเจรจาสำเร็จ คู่ค้าพร้อมเปิดตลาดในไตรมาสถัดไป   ✅ เคสที่ 2: วิศวกรไปเจรจาดีลกับโรงงานในเยอรมนี ปัญหา: ลูกค้าไม่แน่ใจว่าเข้าข่าย “วีซ่าธุรกิจ” หรือ “วีซ่าทำงานชั่วคราว” ทางออกของเรา: วิเคราะห์ลักษณะกิจกรรมในต่างประเทศ และแนะนำวีซ่าที่เหมาะสม พร้อมเตรียมเอกสารทั้งสองภาษา