admin

🌍ประเทศที่ประกาศยกเว้นวีซ่าใหม่ล่าสุด ปี 2025 การเดินทางระหว่างประเทศกำลังเปิดกว้างมากขึ้นในปี 2025 เมื่อหลายประเทศได้ประกาศ นโยบายยกเว้นวีซ่า หรือ ปรับลดข้อจำกัดวีซ่า เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้เดินทางระหว่างประเทศมากขึ้น ซึ่งคนไทยเองก็ควรจับตามองไว้ เพราะอาจเพิ่มโอกาสในการเดินทางแบบไม่ต้องยื่นวีซ่าล่วงหน้ามากขึ้น ด้านล่างคือ ตัวอย่างเด่น ๆ ของประเทศที่ประกาศการยกเว้นวีซ่าหรือปรับนโยบายใหม่ในปี 2025 พร้อมสิ่งที่ควรรู้สำหรับผู้เดินทางไทย ตัวอย่างประเทศที่มีการประกาศยกเว้นวีซ่า/ปรับนโยบายใหม่ 1) ประเทศจีน (China) จีนประกาศจะ ขยายโครงการยกเว้นวีซ่าแบบทางเดียว (unilateral visa-free) ให้กับ 43 ประเทศ และ “ปรับปรุงนโยบายการเข้าเมือง” ได้แก่เรื่องระยะเวลาพำนักและวัตถุประสงค์การเดินทาง โดยมีประกาศเมื่อ 6 มิถุนายน 2025.   สิ่งที่ผู้เดินทางไทยควรสังเกต: ถึงแม้ไทยอาจอยู่ในกลุ่มหนึ่งหรือได้รับสิทธิ์ในอนาคต แต่ต้องเช็กว่าโครงการครอบคลุมสัญชาติไทยหรือไม่, ระยะเวลาที่พำนักได้, และเงื่อนไขสำหรับการเข้า-ออก.   2) เคนยา (Kenya) เคนยาประกาศตั้งแต่ต้นปี 2025 ว่า จะยกเว้นวีซ่าสำหรับ “ประเทศในแอฟริกา” และ “ประเทศแคริเบียน” หลายประเทศ โดยผู้เดินทางไม่ต้องใช้ […]

ประเทศที่เข้มงวดเรื่อง Bank Statement มากที่สุดปีนี้ (อัปเดต 2025) การยื่นขอวีซ่า “ผ่าน – ไม่ผ่าน” หลายครั้งไม่ได้ขึ้นอยู่แค่เอกสารครบหรือไม่ แต่สิ่งที่สถานทูตให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือ Bank Statement หรือรายการเดินบัญชี เพราะมันสะท้อน “ความมั่นคงทางการเงิน” และ “เจตนากลับประเทศ” ของผู้ยื่นได้อย่างชัดเจน ในปี 2025 นี้ มีหลายประเทศที่ขึ้นชื่อว่า ตรวจละเอียดเรื่อง Bank Statement แบบเข้มงวดที่สุด ใครกำลังจะยื่นวีซ่าควรศึกษาให้ดีเพื่อเตรียมตัวล่วงหน้า   5 ประเทศที่ตรวจ Bank Statement เข้มที่สุดในปีนี้ 1. ฝรั่งเศส (Schengen Visa) ต้องแสดงบัญชีย้อนหลัง 3–6 เดือน ดูเล่มบัญชีจริง + Statement จากธนาคาร หากเงินเข้าแบบ “ก้อนใหญ่ผิดปกติ” อาจถูกขอเอกสารเพิ่ม ต้องแสดงยอดเงินขั้นต่ำตามจำนวนวันพำนัก เช่น €120/วัน 2. แคนาดา ต้องแสดงเงินหมุนเวียนและยอดคงเหลือแบบ

วีซ่าที่คนไทยขอมากที่สุดในปี 2025 (อัปเดตล่าสุด) ปี 2025 เป็นปีที่คนไทยเดินทางไปต่างประเทศมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งท่องเที่ยว ศึกษาต่อ ทำงาน และเยี่ยมครอบครัว ทำให้หลายประเทศมีปริมาณการยื่นขอวีซ่าจากคนไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง วันนี้ Co Journey Visa รวบรวม “5 วีซ่าที่คนไทยขอมากที่สุดในปี 2025” พร้อมข้อมูลสำคัญและเทคนิคเตรียมตัวให้ผ่านง่ายขึ้น   1. วีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa) – วีซ่ายอดนิยมอันดับ 1 เดินทางได้ 27 ประเทศในยุโรป เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี สเปน สวิตเซอร์แลนด์ ฯลฯ 📌 ทำไมถึงฮิต: เที่ยวหลายประเทศในทริปเดียว เทศกาลฤดูหนาว คริสต์มาส และซากุระยุโรปกำลังมาแรง เที่ยวถ่ายรูปสวย ใช้โซเชียลได้ทั้งปี 📄 เอกสารสำคัญที่สถานทูตดูเป็นพิเศษ: Bank Statement 6 เดือน ประกันเดินทางขั้นต่ำ 30,000 ยูโร

มีวีซ่าเชงเก้นแล้ว เดินทางไปประเทศอื่นได้ไหม? หลายคนสงสัยว่า ถ้ามีวีซ่าเชงเก้นแล้ว สามารถเดินทางไปประเทศอื่น ๆ นอกโซนเชงเก้นได้หรือไม่ วันนี้ Co Journey Visa จะสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ พร้อมคำแนะนำเพื่อการวางแผนการเดินทางอย่างมั่นใจ   วีซ่าเชงเก้นใช้ได้เฉพาะกลุ่มประเทศเชงเก้นเท่านั้น วีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa) เป็น วีซ่าเข้าประเทศในกลุ่มเชงเก้น 27 ประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี สเปน เนเธอร์แลนด์ และอีกหลายประเทศในยุโรป ข้อสำคัญ: ✅ วีซ่าเชงเก้น ไม่สามารถใช้เข้าประเทศที่ไม่ได้อยู่ในเขตเชงเก้น เช่น อังกฤษ ไอร์แลนด์ รัสเซีย ตุรกี ✅ ต้องตรวจสอบประเทศที่จะเดินทางล่วงหน้า เพื่อป้องกันการปฏิเสธเข้าประเทศ การเดินทางไปประเทศที่ไม่ได้อยู่ในเขตเชงเก้น ถ้าคุณมีแผนไปประเทศอื่นที่ไม่ใช่เชงเก้น ต้อง ยื่นวีซ่าประเทศนั้นเพิ่มเติม บางประเทศอาจอนุญาตให้ทำ visa-on-arrival หรือ e-visa แต่ต้องตรวจสอบเงื่อนไขล่าสุดก่อนเดินทาง ตัวอย่าง: อังกฤษ ต้องมี UK

ต้องจองโรงแรมจริงก่อนยื่นวีซ่าหรือใช้สามารถ Booking ได้? หนึ่งในคำถามยอดฮิตสำหรับผู้ยื่นวีซ่าท่องเที่ยวคือ “จำเป็นต้องจองโรงแรมจริงก่อนยื่นวีซ่าหรือไม่?” หลายคนกังวลว่าจะต้องชำระเงินล่วงหน้า และกลัวหากวีซ่าถูกปฏิเสธจะเสียค่าใช้จ่าย วันนี้ Co Journey Visa จะมาอธิบายให้เข้าใจอย่างละเอียด   การจองโรงแรมจริง (Confirmed Reservation) การ จองโรงแรมจริง หมายถึงการชำระเงินเต็มจำนวนหรือบางส่วน และได้รับ เอกสารยืนยันจากโรงแรม ว่าคุณมีสิทธิ์เข้าพักตามวันที่ระบุ ข้อดี ✅ สร้างความน่าเชื่อถือกับสถานทูต ✅ ลดความเสี่ยงในการถูกปฏิเสธวีซ่า ✅ ใช้เป็นเอกสารประกอบการยื่นในกรณีวีซ่าเชงเก้นหรือประเทศที่เข้มงวด ข้อเสีย หากวีซ่าถูกปฏิเสธ อาจเสียค่าใช้จ่ายบางส่วนหรือทั้งหมด ต้องมีการวางแผนล่วงหน้า การใช้ Booking / Reservation ฟรี หลายประเทศอนุญาตให้ใช้ Booking.com, Agoda, หรือระบบจองโรงแรมที่สามารถยกเลิกได้ เป็นหลักฐานการเข้าพัก โดยไม่จำเป็นต้องชำระเงินล่วงหน้า ข้อดี ✅ ประหยัดค่าใช้จ่าย กรณีวีซ่าถูกปฏิเสธ ✅ ยืดหยุ่น สามารถเปลี่ยนวันที่หรือโรงแรมได้ ✅ สะดวกต่อการยื่นวีซ่าแบบรวดเร็ว ข้อควรระวัง ควรตรวจสอบว่า

ยื่นวีซ่าออนไลน์ vs ยื่นผ่านสถานทูต ต่างกันอย่างไร? ปัจจุบันการ “ขอวีซ่า” ไม่ได้มีแค่การไปยื่นเอกสารด้วยตัวเองที่สถานทูตเหมือนในอดีต เพราะหลายประเทศได้เปิดระบบ “ยื่นวีซ่าออนไลน์” เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และลดขั้นตอนการเดินทางไปยื่นเอกสาร แต่หลายคนก็ยังสงสัยว่า “แล้วทั้งสองแบบต่างกันยังไง?” “ควรเลือกแบบไหนดี?” วันนี้ Co Journey Visa จะมาช่วยอธิบายให้เข้าใจอย่างละเอียดครับ   🖥️ 1. การยื่นวีซ่าออนไลน์ (Online Application) การยื่นวีซ่าออนไลน์ คือการกรอกข้อมูลและอัปโหลดเอกสารผ่านระบบของสถานทูตหรือศูนย์ยื่นวีซ่า เช่น VFS, TLS หรือระบบของประเทศนั้น ๆ โดยไม่ต้องพิมพ์เอกสารไปยื่นด้วยตัวเอง (ยกเว้นบางกรณีที่ยังต้องไปสแกนลายนิ้วมือ) ตัวอย่างประเทศที่ยื่นวีซ่าออนไลน์ได้ เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา อังกฤษ เกาหลีใต้ อินเดีย ข้อดีของการยื่นออนไลน์ ✅ สะดวก ไม่ต้องเดินทางไปสถานทูต ✅ สามารถติดตามสถานะผ่านระบบออนไลน์ได้ ✅ เหมาะสำหรับคนที่อยู่ต่างจังหวัด หรือมีเวลาจำกัด ✅ บางประเทศใช้เวลาพิจารณาสั้นกว่า ข้อควรระวัง

ต้องซื้อตั๋วเครื่องบินก่อนยื่นวีซ่าหรือไม่? หนึ่งในคำถามยอดนิยมจากผู้ที่เตรียมยื่นขอวีซ่าท่องเที่ยวหรือวีซ่าประเภทอื่น ๆ คือ “เราต้องซื้อตั๋วเครื่องบินจริง ๆ ก่อนยื่นวีซ่าหรือเปล่า?” “หรือแค่จองเฉย ๆ ก็พอ?” คำตอบคือ — ❌ “ไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วจริงก่อนยื่นวีซ่า” เพราะสถานทูตส่วนใหญ่ ต้องการเห็นเพียงหลักฐานการจองตั๋ว (Flight Reservation) เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาวีซ่าเท่านั้น ซึ่งมีเหตุผลสำคัญทั้งด้านความปลอดภัยทางการเงิน และขั้นตอนทางกงสุลที่คุณควรเข้าใจให้ชัดเจนครับ  ทำไมไม่ควรซื้อตั๋วจริงก่อนวีซ่าผ่าน? หลายคนเข้าใจผิดว่าต้องซื้อตั๋วล่วงหน้าเพื่อแสดงความมั่นใจในการเดินทาง แต่จริง ๆ แล้ว สถานทูต ไม่แนะนำให้ซื้อตั๋วจริงก่อนรู้ผลวีซ่า ด้วยเหตุผลดังนี้ ป้องกันการสูญเงินกรณีวีซ่าไม่ผ่าน หากคุณซื้อตั๋วเครื่องบินจริง แล้ววีซ่าถูกปฏิเสธ คุณจะไม่สามารถขอคืนเงินค่าตั๋วได้ในหลายกรณี โดยเฉพาะสายการบินแบบ Low Cost ที่มีนโยบาย “Non-refundable”   แผนการเดินทางอาจต้องปรับเปลี่ยนตามคิวสถานทูต บางครั้งวันสัมภาษณ์หรือเวลาพิจารณาวีซ่าอาจล่าช้า ทำให้ต้องเลื่อนวันเดินทาง การซื้อตั๋วล่วงหน้าจะสร้างความยุ่งยากหากต้องเปลี่ยนแปลง   ไม่จำเป็นต่อการพิจารณาวีซ่า เจ้าหน้าที่สถานทูตต้องการ “หลักฐานการจอง” เท่านั้น เพื่อดูว่าผู้ยื่นมีแผนการเดินทางจริง ไม่จำเป็นต้องเห็น “ตั๋วที่ชำระเงินแล้ว”   สรุปง่าย ๆ: “ยื่นวีซ่าด้วยใบจองตั๋วได้

เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ต้องขอวีซ่าแยกหรือไม่? สำหรับครอบครัวที่มีแผนจะเดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศที่ต้องใช้ วีซ่า (Visa) คำถามยอดฮิตที่มักจะเกิดขึ้นคือ “เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ต้องขอวีซ่าแยกไหม?” “สามารถรวมในพาสปอร์ตของพ่อแม่ได้หรือเปล่า?” คำตอบคือ — ✅ ต้องขอวีซ่าแยกสำหรับเด็กทุกคน แม้ว่าเด็กจะอายุน้อยมาก หรือเดินทางไปพร้อมผู้ปกครองก็ตาม แต่จะมีข้อยกเว้นและเงื่อนไขบางอย่างที่ควรทราบ ซึ่งเราจะอธิบายให้เข้าใจแบบละเอียดครับ    1. เด็กทุกคนต้องมีวีซ่าเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น ทารกแรกเกิด หรือ เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี หากจะเดินทางไปประเทศที่ต้องใช้วีซ่า เช่น 🇫🇷 ฝรั่งเศส 🇩🇪 เยอรมนี 🇯🇵 ญี่ปุ่น 🇬🇧 อังกฤษ 🇺🇸 อเมริกา 🇨🇦 แคนาดา เด็กทุกคน จำเป็นต้องยื่นขอวีซ่าแยกเป็นรายบุคคล เพราะแต่ละประเทศจะออกวีซ่าตามชื่อและหมายเลขหนังสือเดินทาง (Passport Number) ดังนั้น แม้เด็กจะเดินทางไปพร้อมพ่อแม่ ก็ไม่สามารถ “ใช้วีซ่าร่วมกัน” ได้

สามารถเปลี่ยนประเภทวีซ่าหลังเดินทางได้ไหม? หนึ่งในคำถามยอดนิยมจากผู้ที่เดินทางไปต่างประเทศคือ “หลังจากเดินทางไปแล้ว สามารถเปลี่ยนประเภทวีซ่าได้ไหม?” โดยเฉพาะกรณีที่เดินทางด้วยวีซ่าท่องเที่ยว แต่ภายหลังมีแผนเรียนต่อ ทำงาน หรือต้องการพำนักระยะยาวในประเทศนั้น ๆ คำตอบคือ — “ส่วนใหญ่ไม่สามารถเปลี่ยนประเภทวีซ่าได้ในประเทศ” แต่ก็มี บางประเทศที่อนุญาตให้เปลี่ยนประเภทได้ ภายใต้เงื่อนไขเฉพาะ ซึ่งเราจะมาดูรายละเอียดกันครับ    1. ทำความเข้าใจก่อน — วีซ่าคืออะไร และทำไมถึงเปลี่ยนไม่ได้ วีซ่า (Visa) คือเอกสารอนุญาตให้ผู้ถือเดินทางเข้าสู่ประเทศนั้น ๆ โดยแต่ละประเภทมีวัตถุประสงค์ชัดเจน เช่น วีซ่าท่องเที่ยว (Tourist Visa) → เดินทางเพื่อท่องเที่ยว วีซ่านักเรียน (Student Visa) → เพื่อเรียนต่อ วีซ่าทำงาน (Work Visa) → เพื่อทำงาน วีซ่าครอบครัว (Dependent / Family Visa) → เพื่ออยู่กับคู่สมรสหรือครอบครัว เมื่อคุณยื่นวีซ่าท่องเที่ยว สถานทูตจะอนุญาตให้เข้าเฉพาะ วัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้ตอนยื่น ดังนั้น หากคุณเปลี่ยนจุดประสงค์

ขอวีซ่าท่องเที่ยวหลายประเทศพร้อมกันได้ไหม? หลายคนมีแผนจะเดินทางท่องเที่ยวในหลายประเทศต่อเนื่องกัน เช่น ไปยุโรป 3 ประเทศในทริปเดียว หรือไปอังกฤษต่ออเมริกา แล้วต่อด้วยญี่ปุ่น จึงเกิดคำถามยอดฮิตว่า — “สามารถขอวีซ่าหลายประเทศพร้อมกันได้ไหม?” คำตอบคือ “ได้” แต่ต้องเข้าใจหลักการและลำดับการยื่นให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้มีปัญหาตอนเดินทาง   ✈️ 1. สามารถขอวีซ่าหลายประเทศพร้อมกันได้จริงหรือ? สามารถขอได้ครับ! โดยเฉพาะกรณีที่คุณมีแผนเดินทางต่อเนื่องระหว่างประเทศที่ “ไม่ได้ใช้วีซ่าร่วมกัน” เช่น ไปยุโรป (ใช้ Schengen Visa) แล้วต่อ อังกฤษ ไป ญี่ปุ่น แล้วต่อ เกาหลีใต้ ไป อเมริกา แล้วต่อ แคนาดา แต่สิ่งสำคัญคือ แต่ละประเทศจะมีเกณฑ์พิจารณาและขั้นตอนยื่นแยกกัน จึงต้องเตรียมเอกสารให้ครบสำหรับทุกประเทศที่ยื่น   🧭 2. ควรยื่นประเทศไหนก่อน? หลักง่าย ๆ คือ “ประเทศที่เดินทางไปก่อน ให้ยื่นก่อน” ตัวอย่างเช่น หากคุณไป ฝรั่งเศสก่อนแล้วต่ออังกฤษ → ให้ยื่นวีซ่าเชงเก้นก่อน แล้วค่อยยื่นวีซ่าอังกฤษ